
“ภาวนาโดยมีคำบริกรรมไปด้วยก็เหมือนกับแม่ร้องเพลงกล่อมลูกให้นอนหลับ”
เมื่อจิตมีความสงบแล้ว ลำดับนี้ควรปล่อยวางคำบริกรรม เพราะเป็นขั้นกล่อมจิตเหมือน #แม่กล่อมลูก ด้วยบทเพลงต่าง ๆ เพื่อให้ทารกหยุดร้องไห้และนอนหลับ
ตอนต้น #จิตกำลังคะนองฟุ้งซ่าน ต้องกล่อมให้สงบด้วยบทบริกรรมภาวนา
เมื่อจิตสงบแล้วเป็นคราวจะฝึกหัดจิตให้ทำงาน คือการคิดค้นด้วยปัญญา เหมือนแม่สั่งสอนลูก ในเวลาโตพอทำงานช่วยให้เบามือได้แล้ว ก็สั่งให้ทำงานหารายได้เท่าที่ลูกจะสามารถ
ฉะนั้น ในขั้นนี้ #เมื่อจิตสงบ แล้วก็ปรากฏเป็นความสุขชนิดหนึ่ง ซึ่งมีประจำใจ ปราศจากความฟุ้งซ่านวุ่นวายในอารมณ์ภายนอกมีความสุข เป็นอารมณ์
เมื่อจิตมาประสบความสุขชนิดนี้เป็นอารมณ์แล้ว จะเพลินติดสุข ไม่อยากจะออกค้นคว้าพิจารณาธรรมทั้งหลายด้วยปัญญาเพื่อความปลดเปลื้องตนต่อไป ด้วยมาสำคัญใจว่า ตนได้รับความสุขสมประสงค์แล้ว เพลินแต่จะเพ่งผู้รู้อันสงบสุขนั้นตลอดไป เลยไม่อยากเกี่ยวข้องขวนขวายหาทางอื่น นอกจากความสงบสุขนั้นเสีย
ซึ่งเหมือนคนเข็ญใจ ไม่เคยมีเงินถึงหนึ่งบาท เมื่อไปรับจ้างเขาทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เงินหนึ่งบาทมาถึงมือ เลย #กำไว้ไม่ปล่อยวาง และไม่คิดหาหนทางที่จะได้เงินมาเพิ่มของที่มีอยู่แล้วให้มากมูน อาศัยการจับจ่ายฝ่ายเดียว ไม่กี่วันเงินก็หมดไปเท่านั้น
ลักษณะของผู้เสวยสุขอยู่ในสมาธิอันสงบก็เช่นกันแทนที่ความสงบนั้นจะควรเป็นบาทแห่งวิปัสสนา ซึ่งจะไหลมาแห่ง #ความสุขอันยิ่งใหญ่ ก็เลยพลอยให้เสื่อมเสียทั้งทุน คือความสงบที่มีอยู่แล้วทั้งกำไรคือบรมสุขอันจะพึงได้จากวิปัสสนา
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
คัดลอกจาก :“วัดป่าบ้านตาด “วัดเกษรศีลคุณ”